ก่อนการรักษา
ผู้ป่วย (นับถือศาสนาพุทธ) ต้องยกขันไหว้ครู ผู้ป่วยที่นับถือศาสนาอื่นไม่ต้องทำการไหว้ครูก็ได้
ประกอบด้วย
- ดอกไม้ 3 สี
- ธูป 1 แหนบ หรือ 3 ดอก
- เทียน 1 เล่ม
- บุหรี่ และ/หรือ หมากพลู 1 ชุด
- เงินค่าครู 39 บาท (พร้อมเงินค่ารักษา)
หมอจะยกขันไหว้ครู บอกเล่าบรมครู ปู่ชีวกโกมารภัจจ์ ปู่ไกร และครูผู้ถ่ายทอด โดยมีผู้ป่วยอยู่ด้วย เมื่อหมอบอกเสร็จแล้ว ก็จะให้ผู้ป่วยไหว้ครู และบอกกล่าวตามคำหมอ ขอให้หาย รวมไปถึงขออนุญาตเจ้ากรรมนายเวรของตัวผู้ป่วยเอง ขอให้อนุญาตรักษา ขอขมาและอโหสิกรรมให้ตัดเวรตัดกรรม หมดเวรซึ่งกันและกัน
และเมื่อผู้ป่วยหายแล้ว ต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ รวมถึงทำบุญไปถึง บรมครู ปู่ชีวกโกมารภัจจ์ ครูผู้ถ่ายทอด ปู่ไกร และคุณแม่บรรจง (เงิน 39 บาทในขันครู หมอจะนำไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น)
ขั้นตอนการรักษา
เมื่อทำการตรวจและวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยทั้งจมูกและทวาร พบว่าเป็นโรค หมอจะแนะนำและอธิบายสาเหตุของโรค ก่อนทำการรักษา หมอจะบันทึกประวัติผู้ป่วย (เวชระเบียน) รวมถึงอาการที่เป็นมาก่อนมาพบหมอ จากนั้นจะใช้ไม้พันสำลีที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว จุ่มยา 1–4 ไม้ ตามชนิดและอาการของโรค ทาบริเวณหัว และบริเวณที่ติดเชื้อ ทั้งจมูกและทวาร
ระหว่างการรักษา หมอจะบันทึกอาการ การใช้ยา และถ่ายรูป (ได้รับอนุญาตจากผู้ป่วย) ผู้ป่วยจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหาย
การดูแลตัวเองของผู้ป่วยไซนัส ภูมิแพ้ ริดสีดวงจมูก
ควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ 0.9% (มีขายที่ร้านขายยา) อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า–เย็น ช่วยลดกลิ่นเหม็นในลมหายใจ กลิ่นปาก การบวม และป้องกันการติดเชื้อในโพรงไซนัสได้
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากินหรือยาพ่นติดต่อกันนาน เพราะอาจทำให้เกิดการสะสมของยา ซึ่งส่งผลต่อไต ตับ และหัวใจ “สเตียรอยด์” ใช้มากเกินไปจะส่งผลให้เล็บเปลี่ยนสภาพได้
การดูแลตัวเองของผู้ป่วยโรคริดสีดวงทวาร
ไม่ควรปล่อยให้ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการนั่งห้องน้ำนาน ๆ เพราะการเบ่งจะทำให้หัวริดสีดวงโตขึ้น อาจแตกจนเลือดไหล ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อมะเร็งได้
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องผูก เช่น เนื้อสัตว์มาก ๆ ของสดคาว เช่น ปลาไหล เต่า ตะพาบ สัตว์ป่า และอาหารทะเลหรือของหมักดอง ซึ่งอาจทำให้ริดสีดวงอักเสบและมีเลือดออก
ควรทานผักผลไม้ให้มาก เช่น มะละกอสุก กล้วยสุก ดื่มน้ำมาก ๆ และฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา ไม่ควรนั่งห้องน้ำนาน
หมอจะซักประวัติ พูดคุย สอบถามอาการ สภาพแวดล้อม และพฤติกรรมการกินของผู้ป่วย เพื่อหาสาเหตุและแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นอีก “การป้องกันดีกว่าการรักษา”